top of page

อาการเจ็บโน่นปวดนี่ของมนุษย์เงินเดือน

  • Writer: Por
    Por
  • Sep 3, 2019
  • 1 min read

อาการเจ็บโน่นปวดนี่ของมนุษย์เงินเดือน

(ที่ไม่ได้เกิดจากกระดูกแตกหัก/เคลื่อน/ทับเส้นประสาท)


มนุษย์เงินเดือนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกคนคงคุ้นกับโรค Office Syndrome เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว ไมเกรน ปวดกระบอกตา ปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก ข้อมือ นิ้ว เจ็บหลัง ไม่ว่าจะเป็นส่วนสะบัก ส่วนกลาง หรือส่วนล่าง แม้กระทั่งบริเวณสะโพก ขาหนีบ ต้นขา หน้าแข้ง ข้อเท้า เท้าตึง เจ็บนิ้วเท้า ถ้าเป็นนานๆสะสมไว้มากๆก็จะเปลี่ยนจากปวดเป็นชา ไม่รู้สึกไปเลย หลายคนพยายามออกกำลังกายแต่ก็ยังไม่หาย บางครั้งมีอาการปวดส่วนอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก เช่น วิ่งจนปวดเข่า ปวดสะโพก ก้มหลังไม่ได้ แอโรบิคจนเอวเคล็ด หรือเล่นเวตท์จนกล้ามเนื้อแข็ง เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของข้อต่อ


ตามศาสตร์โยคะได้กล่าวไว้ว่าการทำงานของร่างกายทุกส่วนสัมพันธ์กัน และยังสัมพันธ์กับจิตใจอีกด้วย โดยเฉพาะถ้ามีความเครียดสะสมก็จะทำให้สมองสั่งงานให้ต่อมต่างๆ หลั่งฮอร์โมนผิดเพี้ยนไป ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอีกมากมาย เบื้องต้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าช่วงคอ บ่า ไหล่ คือ “ฐานของกะโหลกศีรษะ” (Base of Skull) ต่อกับท้ายทอยซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของกะโหลกต่อกับคอ บริเวณนี้มีทั้งกล้ามเนื้อ ข้อต่อ เส้นเลือด เส้นเอ็น เส้นประสาท มากมายพาดผ่านไปสู่สมอง สมองคือหอควบคุมการทำงานทั้งหมดของร่างกาย มีกะโหลกศีรษะคลุมไว้เพื่อป้องกันอันตราย (นี่คือมหัศจรรย์ของร่างกาย ถูกออกแบบไว้อย่างดีเยี่ยม อวัยวะหลักของร่างกายคือสมอง มีกะโหลกศีรษะเพื่อป้องกันอันตราย เช่นเดียวกับหัวใจและปอดก็มีกระดูกซี่โครงเป็นเกราะป้องกัน ส่วนกระเพาะอาหารและลำไส้ให้อิสระเจ้าของร่างกายเลือกได้ว่าจะขยายตามความอยากของปาก หรือจะสร้างกล้ามเนื้อ 6 Packs / 8 Packs ไว้ป้องกัน ดูนักมวยสิ ถูกต่อยท้องหลายหมัดก็ไม่เป็นไร สำหรับคนทั่วไปเอาแค่ป้องกันการย้อยและช่วยประคองหลังก็พอแล้วเนอะ) สมองสั่งการผ่านเส้นประสาทที่เชื่อมไปยังทุกส่วนของร่างกาย ฉะนั้นลองจินตนาการว่าหากกล้าเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ แข็งตึง ทั้ง ข้อต่อ เส้นเลือด เส้นเอ็น เส้นประสาทก็จะถูกบีบ เลือดไหวเวียนไม่สะดวก หน้าที่สำคัญของเลือดคือการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปบำรุงเซลส์ทุกส่วนของร่างกายโดยเฉพาะสมองซึ่งต้องการออกซิเจนมากที่สุด พอเริ่มขาดออกซิเจนร่างกายก็ส่งสัญญาณบอกเราโดยแสดงอาการ เช่น ปวดหัว หากลองใช้นิ้วมือทั้ง 2 ข้างกดศีรษะดูจะพบว่าบางบริเวณแข็งตึงไปหมด กล้ามเนื้อแต่ละส่วนที่ขาดเลือด ไม่ว่าจะขาดเพราะการเกร็งตัวแล้วไม่คลายหรือการบีบรัดเส้นเลือดเส้นประสาท หรือหายใจสั้น/แผ่วเบา สมองก็ส่งสัญญาณบอกโดยเริ่มแสดงอาการไม่สบายตัว ตั้งแต่การตึง ปวด จนถึงการชา ใช้ส่วนไหนมากส่วนนั้นก็แข็งตึง อาจเป็นกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็น หรือว่ามีจุดอ่อนแอตรงไหน ส่วนนั้นก็จะปรากฏอาการ ไล่ลงมาจากคอจนถึงเท้า และที่แย่ยิ่งขึ้นก็คือเมื่อปรากฏอาการปวดที่ด้านหนึ่ง ร่างกายก็จะปรับท่าโดยอัตโนมัติทิ้งน้ำหนักไปด้านตรงข้ามเพื่อเลี่ยงความเจ็บปวด เช่น ถ้าปวดหลังด้านซ้ายก็จะนั่งเอียงตัวทิ้งน้ำหนักไปด้านขวาแทน ซึ่งกลายเป็นท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้สรีระผิดทรง (Postural Misalignment) เกิดการเสียสมดุลไปทั้งตัว คราวนี้อาการปวดก็จะวิ่งไปวิ่งมาทั่วทั้งตัว ทำให้เจ้าตัวไม่รู้แล้วว่าจริงๆมันปวดตรงไหนกันแน่เพราะมันเปลี่ยนรายวัน บางคนปวดจนนอนไม่หลับเพราะพลิกตัวหลบความเจ็บตลอด ไปออกกำลังกายก็ไม่หาย เพราะการออกกำลังกายบางชนิดทำให้เกิดการแข็งตึงของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเพิ่มมากขึ้น หรือไปกระแทก/ตอกย้ำในบริเวณที่ร่างกายมีปัญหาหรือผิดทรง เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่หลายคนไม่รู้ว่าต้นเหตุแท้จริงมาจากอะไร สำหรับคนทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ได้รับบาดเจ็บ หากรู้ตั้งแต่ต้นว่าเกิดจากการติดขัดของเลือดลมบริเวณฐานกะโหลกศีรษะ (คอ บ่า ไหล่) แล้วแก้ในจุดนั้นให้ถูกต้องตั้งแต่แรก ก็จะไม่เป็นมากขึ้น (สำหรับผู้มีโรคประจำตัว มีประวัติเคยผ่าตัด หรือได้รับบาดเจ็บ ต้องดูประวัติเพิ่มเติมและวิเคราะห์อาการเป็นรายๆ ไป)


การปวดหรือเจ็บจากการติดขัดของเลือดลมนี้กินยารักษาไม่หาย ยาช่วยเพียงบรรเทาความเจ็บปวด แต่ไม่ได้ช่วยแก้ที่ต้นเหตุ ในภาษาโยคะเรียกต้นเหตุลักษณะนี้ว่า “การติดขัดของเลือดลม” (blockage) บริเวณคอ บ่า ไหล่ อาจรวมถึงสะบักที่มักจะแข็งตึงไปด้วย วิธีการแก้ไขตามศาสตร์โยคะคือการเพิ่มความยืดหยุ่นและขยายช่องให้อวัยวะที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ขอย้ำว่าทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะส่วน เช่น กรณีปวดหลัง ไม่ใช่แก้ที่บริเวณหลังเพียงจุดเดียว แต่ต้องแก้ไขตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ทั้งนี้เพราะร่างกายเรามีโครงกระดูกเป็นแกน ตามด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ขึงกล้ามเนื้อไว้กับโครงกระดูก เชื่อมด้วยข้อต่อ ร้อยผ่านด้วยเส้นเอ็นย่อย เส้นเลือด เส้นประสาท ท่อน้ำเหลือง ฯลฯ ซึ่งเชื่อมอวัยวะทั้งหมดไว้ด้วยกัน มีสมองเป็นหอบัญชาการใหญ่ส่งคำสั่งและรับความรู้สึกผ่านเส้นประสาท ศาสตร์โยคะเพิ่มความยืดหยุ่นและขยายช่องให้อวัยวะที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยผ่านการทำท่าอาสนะพื้นฐาน ขอย้ำว่าท่าพื้นฐานก็เพียงพอในการแก้ไข ไม่ต้องเป็นท่ายากหรือซับซ้อนเลย และการเพิ่มศักยภาพให้ระบบหายใจของร่างกาย ศาสตร์โยคะเน้นใจเรื่องนี้มาก มีวิธีการปฏิบัติและรายละเอียดระบุไว้เป็นขั้นตอน ระบบการหายใจไม่ได้หมายถึงปอดเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงจมูกที่ต้องสะอาดไม่มีน้ำมูก คอไม่มีเสมหะ หลอดลมต้องไม่ติดขัด กล้ามเนื้ออกยืดขยายได้ไม่หดงอ/กดทับ/จำกัดการขยายของปอด กระบังลมมีพลังเคลื่อนที่ขึ้นลงตามธรรมชาติเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ปอดขยาย ตัวปอดเองต้องเพิ่มความจุสามารถขยายได้จนสุดถึงปลาย และกล้ามเนื้อท้องที่ต้องเคลื่อนไหวไปตามจังหวะธรรมชาติเพื่ออำนวยความสะดวกให้กระบังลมและปอดทำงานเต็มที่ นอกจากนี้ยังต้องทำงานสัมพันธ์กับระบบการทำงานของหัวใจซึ่งต้องส่งเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้าปอดเพื่อฟอกเลือดและปั๊มเลือดที่อุดมด้วยออกซิเจนที่ได้รับจากปอดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย รวมถึงหลอดเลือดต้องสะอาดไม่ตีบตัน คุณภาพเลือดดี มีความเป็นด่างเล็กน้อย ไม่ข้นหรือจาง การแก้ไขในลักษณะองค์รวมเช่นนี้ ส่งผลดีอีกหลายด้าน คือ สามารถป้องกันโรคที่ยังไม่ปรากฏอาการที่เกิดจากการติดขัดของเลือดลมได้ด้วย และยังสามารถช่วยให้โรคอื่นที่เกิดจากสาเหตุเดียวกันมีอาการทุเลาลงหรือหายไปได้ ส่วนเรื่องหุ่นงาม ผิวสวย ดูอ่อนกว่าวัยเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ได้แน่ๆ เท่านั้น


นอกจากนี้ Office Syndrome อาจมีสาเหตุจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ กินอาหารไม่สมดุลทำให้ขาดแร่ธาตุบางชนิดร่วมด้วย ฉะนั้นต้องให้ความสำคัญเรื่องเหล่านี้ด้วย ศาสตร์โยคะสอนเรื่องการผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเพื่อการฟื้นฟูและเติมพลัง และการทำสมาธิเพื่อให้จิตนิ่ง ว่างเว้นจากความห่วงกังวลทั้งปวง หากฝึกถูกต้องจะรู้สึกตัวเบาหัวเบาหลังจากการฝีก นอกจากนี้ยังแนะนำให้ทานอาหาร Sattvic Food ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของอาหารมังสวิรัติ (จะอธิบายในโอกาสต่อไป) และกินแบบพอดีกับการดำรงชีวิต ไม่มากไปหรือน้อยไปอีกด้วย


สรุปสั้นๆ ตามหลักศาสตร์โยคะได้ว่า อาการกลุ่ม Office Syndrome เกิดจากการติดขัดของเลือดลม จุดหลักของการติดขัดคือบริเวณฐานกะโหลกศีรษะ (คอ บ่า ไหล่ ท้ายทอย) ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดสารอาหารบางชนิด แก้ไขได้โดยการทำท่าอาสนะพื้นฐาน การฝึกหายใจ การผ่อนคลาย การทำสมาธิ และการเลือกกินอาหารให้ครบตามความต้องการของร่างกายและกิจกรรมแต่ละวัน


การฝึกโยคะควรมีครูที่มีความรู้และประสบการณ์มากพอที่จะตอบโจทย์ของผู้เรียนได้ การฝึกแบบไม่ถูกต้องหรือทำตาม YouTube โดยไม่มีความเข้าใจและความรู้พื้นฐานเลยอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและส่งผลเสียในภายหลัง


เขียนโดย พิริยดา เวสสุวรรณ

นักส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะองค์รวม

พ.โยคะ


 
 
 

Comments


© 2023 by The Artifact. Proudly created with Wix.com

bottom of page